วันจันทร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

เรื่องราวของผ้าไหมจีน

เล่ากันว่า วิธีเลี้ยงไหมของจีนเป็นความรู้ที่นางลั่วจู่ สนมของจักรพรรดิหวงตี้ เป็นผู้สอนประชาชนจีนเมื่อกว่าห้าพันปีก่อน สะท้อนให้เห็นว่า ประชาชนจีนรู้เทคนิคการปลูกหม่อม เลี้ยงไหม และทอผ้าไหมตั้งแต่สมัยโบราณ หลังจากที่จางเชียนในสมัยฮั่นตะวัน ตกได้บุกเบิกเส้นทางไปถึงตะวันตกแล้ว ผลิตภัณฑ์ผ้าไหมของจีนก็ได้แพร่หลายไปถึงยุโรป ชาวยุโรปเห็นผ้าไหมที่นุมนวลและ หลากหลายสีสัน เลยถือเป็นของล้ำค่และแย่งกันซื้อ เล่ากันว่า จักรพรรดิซีซาร์ของโรมก็เคย ฉลองพระองค์ที่ทำด้วยผ้าไหมจีนไปชม ละคร ได้รับความสนใจจากประชาชนทั้งโรงละคร โคลัมบัสเคยกล่าวกับกะลาสีเรือว่า ระหว่างการเดินทาง ถ้าใครได้พบแผ่นดินใหญ่เป็นคนแรก ก็จะได้รางวัลเป็นเสื้อผ้าไหม ราคาของผ้าไหมขณะนั้นแพงเหมือน ทอง ขณะนั้น อาณาจักรโรมันต้องประสบปัญหาขาดดุลการคลัง เนื่องจากจ่ายค่านำเข้าผ้าไหมที่แสนแพง ด้วยเหตุนี้ พฤฒิสภา จึงลงมติห้ามจำหน่ายและสวมเสื้อผ้า ไหมจีน แต่ก็ต้องประสบกับการคัดค้านอย่างรุนแรงจากชนชั้นสูงทั้งหลายที่นิยมผ้าไหม จีน สุดท้าย อาณาจักรโรมันต้องยกเลิกข้อห้ามนี้ไปในที่สุด ตอนแรกชาวยุโรปไม่ทราบว่าผ้าไหมจีน มากจากการเลี้ยงตัวไหมและทักทอเป็นผ้าไหม พวกเขานึกว่า ไหมสกัดจากต้นไม้ แล้ว แช่น้ำเย็นจนกลายเป็นเส้่นไหม พอทราบว่าผ้าไหมทำด้วยเส้นไหมที่มาจากการเลี้ยงตัวไหม พวกเขาตัดสินใจหาทุกวิถีทางที่จะ เรียนรู้วิธีเลี้ยงตัวไหมของจีน มีหลายตำนานที่กล่าวขานถึงวิธีการเลี้ยงไหมของจีนแพร่ไปยังตะวันตกได้อย่าง ไร จากบันทึกที่ พระเสวียนจ้าง เขียนไว้ในบันทึกการเดินทางไปตะวันตกสมัยราชวงศ์ถัง ระบุว่า ทางตะวันตกมีแคว้นเล็กชื่อโคสตนะ ซึ่งอยาก เรียนรู้วิธีการเลี้ยงตัวไหม ก็เลยขอความช่วยเหลือจากประเทศตะวันออก แต่ประเทศตะวันออกขณะนั้นปฏิเสธที่จะสอนให้ และ ตรวจตราตามด่านอย่างเข้มงวดเพื่อ ป้องกันไม่ให้ไข่ตัวไหม และเมล็ดต้นหม่อมแพร่หลายไปยังต่างประเทศ ตามการศึกษาค้น คว้าของนักวิชาการประเทศตะวันออก ในที่นี้น่าจะเป็นราชวงศ์เป่ยเว่ยในสมัยนั้น กษัตริย์แคว้นโคสตนะเห็นว่าการ ขอความช่วย เหลือไม่เป็นผล ก็เลยคิดหาวิธีอื่น พระองค์ทรงของอภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงประเทศตะวันออก โดยถือการส่งเสริมสัมพันธไมตรี เป็นข้ออ้าง และได้รับอนุญาตจากประเทศตะวันออก ก่อนจะอภิเษกสมรส กษัตริย์โคสตนะส่งทูตพิเศษไปลอบทูลเจ้าหญิงขอให้ เจ้าหญิงทรงพยายามนำไข่ตัวไหมและ เมล็ดต้นหม่อนออกไปด้วย เจ้าหญิงทรงยอมรับการร้องขอ ก่อนจะเดินทางเจ้าหญิงทรง ลอบเก็บไข่ตัวไหมและเมล็ดต้นหม่อม ไว้ในพระมาลา เวลาออกจากด่าน เจ้าหน้าที่ตรวจค้นเสื้อผ้าและกระเป๋าทั้งหมด เพียงแต่ ไม่กล้าตรวจค้นพระมาลาบนเศียรของ เจ้าหญิง ด้วยเหตุนี้ ไข่ตัวไหมและเมล็ดต้นหม่อมจึงถูกนำไปยังแคว้นโคสตนะและแพร่ หลายต่อไปยังตะวันตก การบันทึกที่ล้ำค่าของพระเสวียนจ้าง ได้รับ การพิสูจน์ยืนยันว่า เป็นจริงจากภาพพิมพ์สมัยโบราณที่พบ ในซินเกียงโดยนายสแตนลี่ ชาว ฮังการี สัญชาติอังกฤษ ผู้เป็นนักผจญภัย ตรงกลางของภาพ พิมพ์มีรูปสตรีที่ใส่อาภรณ์หรูหรา และใส่หมวก มีผู้รับใช้ทั้งซ้าย และขวา ผู้รับใช้ที่อยูซ้ายมือชี้ไปยังหมวกที่สตรีผู้นั้นใส่ สตรีผู้นี้คือเจ้าหญิงของประเทศตะวันออกที่นำไข่ตัวไหมและเมล็ดต้น หม่อนไปยังตะวันตกนั้นเอง นี่คือตำนานที่เล่าขานกันมา สำหรับท่านผู้ฟังที่ชื่นชอบผ้าไหมจีน เมื่อมาถึงกรุงปักกิ่งก็มักจะพากัน ซื้อหาผ้าไหมที่ตลาดซิ่วสุ่ย ตลาดนี้มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักกันของผู้คนทั่วโลก จากเดิมที่เป็นตลาดกลางแจ้ง อยู่ในซอยแคบ ๆ ที่ยาว 500 เมตร รองรับ ลูกค้าวันละ 20,000 – 30,000 ราย และ 70 เปอร์เซ็นต์เป็นชาวต่างชาติ ปัจจุบันย้ายมาอยู่ในอาคารที่ทันสมัย มีร้านค้ากว่า 1,500 บูธ นอกจากผ้าไหมแล้วยังมีสินค้าพื้นเมืองอื่น ๆ ที่มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมจีนให้เลือกอีกมากมาย แต่อย่างว่าต้อง ต่อรองราคากันหน่อย นัยว่าต่อได้ครึ่งต่อครึ่งทีเดียว เพลินกับผ้าไหมจีนที่นุ่มนวล หลากหลายสีสัน กันที่ตลาดซิ่วสุ่ยค่ะ

ที่มา:
http://hakkapeople.com/node/464

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น